แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
เทคโนโลยีใหม่ของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม
“ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม” คำๆ
นี้อาจสร้างความเครียดและความกังวลให้ไม่น้อยสำหรับคุณหรือคนใกล้ตัวที่แพทย์แนะนำให้เข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้
หลายๆ คนอาจกลัวความเจ็บปวด กลัวผลแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
กลัวว่าจะไม่สามารถกลับมาเดินหรือใช้ชีวิตแบบเดิมได้ อย่าเพิ่งกังวลกันไปครับ
เพราะในปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำยิ่งขึ้น
รวมถึงมีเทคนิคช่วยควบคุมความเจ็บปวด
เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีดังเดิมได้
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมเป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมทั้งข้อเข่าเสื่อมหรือข้อสะโพกเสื่อม
ที่แพทย์จะแนะนำเมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก
ออกกำลังกาย รับประทานยา แล้วอาการเจ็บปวดยังไม่ดีขึ้นและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน ไม่มีความสุข
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม
โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบ่งออกเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมบางส่วนและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมทั้งข้อ
ซึ่งในอดีตการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบบบางส่วนจะทำได้ยากกว่าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งข้อ
ต้องใช้ความเชี่ยวชาญของแพทย์สูง
เนื่องจากจะต้องวางข้อเทียมในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อให้กลมกลืนกับข้อเดิม
หากผิดพลาดก็อาจส่งผลต่อระยะเวลาการใช้งานของข้อเทียม
ทำให้อายุการใช้งานของข้อสั้นกว่าที่ควรจะเป็น
และผู้ป่วยอาจต้องได้รับการผ่าตัดซ้ำ ซึ่งการผ่าตัดในครั้งต่อๆ
ไปอาจทำได้ยากกว่าและไม่ได้ผลดีเท่ากับการผ่าตัดครั้งแรก
ด้วยเหตุนี้
ในปัจจุบันจึงมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคข้อเสื่อม นั่นก็คือ การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
(Robotic Arm Assisted Joint Replacement Surgery) ซึ่งประกอบด้วย แขนกลหุ่นยนต์
กล้องจับสัญญาณภาพ 3
มิติ และเครื่องประมวลผลที่คอยควบคุมการทำงานทั้งหมดให้สอดคล้องกัน
ทำให้สามารถวางแผนก่อนการรักษาได้อย่างละเอียด ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำ
เที่ยงตรง และลดโอกาสเกิดความผิดพลาดจากการผ่าตัด
อย่างไรก็ดี การใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดไม่ได้หมายความถึงการทำหน้าที่แทนแพทย์
แพทย์ยังคงมีบทบาทสำคัญตลอดกระบวนการรักษาเช่นเดียวกับการผ่าตัดปกติ โดยแพทย์จะเป็นผู้วางแผนกำหนดขนาด องศา
และตำแหน่งของข้อเทียมผ่านระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด แล้วส่งข้อมูลไปยังแขนกลหุ่นยนต์
จากนั้นแพทย์จึงทำการผ่าตัดเปิดแผล กรอกระดูก และวางข้อเทียม
โดยมีแขนหุ่นยนต์เป็นตัวช่วยควบคุมให้แพทย์สามารถกรอกระดูกเสื่อมเฉพาะที่ต้องการออก
และช่วยให้แพทย์สามารถนำข้อเทียมไปใส่ตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ
ด้วยประสิทธิภาพการทำงานของแขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดร่วมกับความเชี่ยวชาญของแพทย์จึงมีข้อดีเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดแบบเดิม
คือ เส้นเอ็นและเนื้อเยื่อต่างๆ
บริเวณรอบเข่าหรือสะโพกที่ยังมีสภาพดีจะไม่บอบช้ำจากการผ่าตัด
ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเริ่มเดินได้เองภายใน 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด
แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บน้อยกว่า
รวมถึงข้อเทียมจะมีอายุการใช้งานยืนยาวอย่างที่ควรจะเป็น
สำหรับผู้ป่วยที่กังวลเรื่องอาการข้างเคียงจากการได้รับยาระงับความรู้สึก
ในปัจจุบันนี้จะใช้วิธีการฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังหรือที่รู้จักกันดีว่าบล็อกหลังโดยไม่ใช้มอร์ฟีน
เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการใช้ยาสลบ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
จะเห็นได้ว่า
เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าช่วยให้การผ่าตัดไม่น่ากลัวอย่างที่คิด และยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เหมือนเดิม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ แม้เทคโนโลยีจะช่วยรักษาข้อที่เสื่อมได้
แต่ก็ควรเป็นทางเลือกท้ายๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ
การดูแลข้อของตัวเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ เพื่อให้ข้อของเราสามารถใช้งานและอยู่กับเราไปได้นานๆ
ข้อดี
-ช่วยลดระยะเวลาในการรักษาได้มากยิ่งขึ้น
-ลดความเสี่ยงในการผ่าตัดสูง
-มีความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็วยิ่งขึ้น
-สามารถนำมาใช้ในการผ่าตัดผู้ป่วยหลายระบบ
- มีโอกาสเสียเลือดน้อยกว่าและมีความแม่นยำสูง
นอกจากนี้ยังมีอาการบอบช้ำที่ได้รับจากการผ่าตัดน้อยลงกว่าการผ่าตัดแบบปกติ
ข้อเสีย
-ราคาของหุ้นยนต์แพทย์สูง
-ค่ารักษาด้วยหุ้นยนต์สูง